บันทึกการเดินทาง จาก อ.รัตนบุรี สุรินทร์สู่ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย
ส่งท้ายปีด้วยทริปไปดูทะเลหมอกที่เจียงฮายกันจ้า
ซึ่งบทความนี้ถูกโพสต์โดย คุณอธิรัช ราชเจริญ
พฤ 12 ธ.ค. 62
ออกเดินทางจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปต่อรถขอนแก่นเชียงราย จากบ้านที่ อ.รัตนบุรี สุรินทร์ ขึ้นรถตู้รอบเจ็ดโมงเช้า แล้วต่อรถโดยสารอีกสองต่อ ถึงขอนแก่นประมาณบ่ายโมงกว่าๆ แล้วต่อรถขอนแก่นเพื่อมุ่งหน้าสู่เชียงรายเป้าหมายของเรา!!! ได้ตั๋วรอบ 18.30 น. ของอีสานทัวร์ (รถสายขอนแก่น-เชียงราย มี 2 บริษัท คือ สมบัติทัวร์และอีสานทัวร์ รถวิ่งทุกวัน ตารางเวลาหาได้จากอากูเลยจ้า)
ออกเดินทางจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปต่อรถขอนแก่นเชียงราย จากบ้านที่ อ.รัตนบุรี สุรินทร์ ขึ้นรถตู้รอบเจ็ดโมงเช้า แล้วต่อรถโดยสารอีกสองต่อ ถึงขอนแก่นประมาณบ่ายโมงกว่าๆ แล้วต่อรถขอนแก่นเพื่อมุ่งหน้าสู่เชียงรายเป้าหมายของเรา!!! ได้ตั๋วรอบ 18.30 น. ของอีสานทัวร์ (รถสายขอนแก่น-เชียงราย มี 2 บริษัท คือ สมบัติทัวร์และอีสานทัวร์ รถวิ่งทุกวัน ตารางเวลาหาได้จากอากูเลยจ้า)
18.30 น. ออกจาก บขส.3 ขอนแก่น มุ่งหน้าสู่เจียงฮาย ใช้เวลาเดินทาง 13 ชั่วโมง!!! ถึง บขส.ใหม่ จ.เชียงราย ประมาณเจ็ดโมงเช้า หลังจากนั้นก็ต้องต่อรถไป บขส.เก่า เพื่อหารถไปภูชี้ฟ้าอีกที (ไป บขส.เก่า เราสามารถขึ้นรถน้ำเงินที่ข้างรถเขียนว่า "รอบเวียง" ได้เลย คิวรถจะอยู่ที่หน้าห้องน้ำของ บขส.ใหม่จ้า)
ศุกร์ 13 ธ.ค. 62
ที่ บขส.เก่า จากเชียงรายไปภูชี้ฟ้าจะมีรถแค่รอบบ่ายโมงครึ่ง (ช่วงที่ผมไปนะ) เป็นรถตู้สายตรงขึ้นภูเลย จุดจอดรถปลายทางคือบริเวณลานชุมชนข้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า สนนราคาอยู่ที่ 200 บาทขาดตัวจ้า แต่ด้วยความที่ตัวเองเคยอ่านเจอว่ามีคนเคยขึ้นรถไป อ.เทิง แล้วต่อสองแถวขึ้นภูได้ ในราคาที่ประหยัด และถึงก่อนรถตู้ด้วย!!! อินี่เลยเอาบ้างสิ!!! ต่อโดยสารเชียงราย-เทิง ด้วยค่ารถ 40 บาท (อ่ะถูกเว่ย!!!) รถออกจากเชียงรายเกือบๆ 10 โมงเช้า ถึงเทิงประมาณ 11 โมงกว่าๆ แต่ด้วยชะตากรรมของอธิรัช...จากเทิงไปภูชี้ฟ้าเค้าไม่มีรถจ้า (เฮ่ย!!! แล้วที่กุอ่านเจอนั่นล่ะ!!!) เจ้าหน้าที่ๆ ท่ารถเค้าบอกว่าถ้าจะขึ้นตอนนี้มีรถเหมาขึ้นได้เลย แต่ราคาก็ 7-8 ร้อยบาท หรือจะรอตอนบ่าย มีรถสองแถวนะ แต่ไปไม่ถึงภู รถจะสุดระยะก่อนที่หมู่บ้านด้านล่างแล้วค่อยไปหารถต่อขึ้นไปเอง (ไม่มีรถสองแถวตรงขึ้นภูชี้ฟ้านะครับ มีแต่รถสายประจำ จะวิ่งถึงหมู่บ้านด้านล่าง เช้าประมาณ 11 โมง บ่ายก็ประมาณบ่ายโมงกว่า วันละสองเที่ยว ณ ตอนที่ผมไปนะ แต่ในอนาคตบ่รู้เด้อ) หรือโทรถามรถตู้ที่เชียงรายว่าเต็มหรือยัง (นั่นไง...ไหนว่าเคยอ่านเจอ!!! 555 เอาหนะ...ไม่ลองก็ไม่รู้เนาะ) ปรากฏว่ารถตู้เต็มจ้าาา สองคันเลย อ่ะ...งั้น รอบ่าย เจ้าหน้าที่เค้าก็ติดต่อรถให้เราตลอดเลยนะ (ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยคร้าบ)
ที่ บขส.เก่า จากเชียงรายไปภูชี้ฟ้าจะมีรถแค่รอบบ่ายโมงครึ่ง (ช่วงที่ผมไปนะ) เป็นรถตู้สายตรงขึ้นภูเลย จุดจอดรถปลายทางคือบริเวณลานชุมชนข้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า สนนราคาอยู่ที่ 200 บาทขาดตัวจ้า แต่ด้วยความที่ตัวเองเคยอ่านเจอว่ามีคนเคยขึ้นรถไป อ.เทิง แล้วต่อสองแถวขึ้นภูได้ ในราคาที่ประหยัด และถึงก่อนรถตู้ด้วย!!! อินี่เลยเอาบ้างสิ!!! ต่อโดยสารเชียงราย-เทิง ด้วยค่ารถ 40 บาท (อ่ะถูกเว่ย!!!) รถออกจากเชียงรายเกือบๆ 10 โมงเช้า ถึงเทิงประมาณ 11 โมงกว่าๆ แต่ด้วยชะตากรรมของอธิรัช...จากเทิงไปภูชี้ฟ้าเค้าไม่มีรถจ้า (เฮ่ย!!! แล้วที่กุอ่านเจอนั่นล่ะ!!!) เจ้าหน้าที่ๆ ท่ารถเค้าบอกว่าถ้าจะขึ้นตอนนี้มีรถเหมาขึ้นได้เลย แต่ราคาก็ 7-8 ร้อยบาท หรือจะรอตอนบ่าย มีรถสองแถวนะ แต่ไปไม่ถึงภู รถจะสุดระยะก่อนที่หมู่บ้านด้านล่างแล้วค่อยไปหารถต่อขึ้นไปเอง (ไม่มีรถสองแถวตรงขึ้นภูชี้ฟ้านะครับ มีแต่รถสายประจำ จะวิ่งถึงหมู่บ้านด้านล่าง เช้าประมาณ 11 โมง บ่ายก็ประมาณบ่ายโมงกว่า วันละสองเที่ยว ณ ตอนที่ผมไปนะ แต่ในอนาคตบ่รู้เด้อ) หรือโทรถามรถตู้ที่เชียงรายว่าเต็มหรือยัง (นั่นไง...ไหนว่าเคยอ่านเจอ!!! 555 เอาหนะ...ไม่ลองก็ไม่รู้เนาะ) ปรากฏว่ารถตู้เต็มจ้าาา สองคันเลย อ่ะ...งั้น รอบ่าย เจ้าหน้าที่เค้าก็ติดต่อรถให้เราตลอดเลยนะ (ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยคร้าบ)
บ่ายโมงกว่าๆ สองแถวก็มาถึง คุยตกลงกันสรุปได้เหมาจ้า ในราคา 400 บาท (ก็คงต้องเหมาแหละ ไม่มีรถแล้ว ^^") เพราะมีพี่ทหารไปด้วยอีก 3 คน แต่พี่ทหารเค้าลงก่อน เลยได้คนละ 80 บาท (พี่คนขับบอกว่ามีรถบ่าย แต่วันนี้รถเสีย ผมเลยต้องเอารถผมมาวิ่งแทน ก็แอบตะหงิดๆ ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะ...เออ...อย่างน้อยกุก็เหมาได้ครึ่งราคาละไง แต่พอมาคิดตอนหลังว่าถ้าเอามาวิ่งแทน มันก็ต้องวิ่งในราคาปกติ แล้วพอสุดระยะถ้าจะเหมาขึ้นค่อยตกลงราคากัน ไม่น่าจะใช้ราคาเหมารวม แล้วเอาผู้โดยสารแค่ 4 คน แบบนี้นี่หว่า 555 พลาดละบักอ๋อม!!!) เป็นอันว่าได้รถขึ้นละ แต่!!!...ด้วยความที่เป็นรถสองแถวหลังคาต่ำ และตัวข้าพเจ้านั้นก็สูงพอประมาณ บวกกับเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน สภาพขาขึ้นคือ...ไม่กินเหล้ากุก็เมาจ้าาาา
ออกจากเทิงบ่ายโมงนิดๆ ถึงภูประมาณบ่ายสองกว่าๆ ความตั้งใจของทริปนี้คือไปแบบไม่มีแผน มีแค่จุดหมาย ข้างหน้าเป็นไงค่อยว่ากัน ที่พักในวันนี้ก็เช่นกัน...จุดหมายแรก กู๊ดวิว @ ภูชี้ฟ้า (ให้สองแถวเค้ามาส่งที่นี่เลย ^^) เท่าที่ดูๆ มา วิวค่อนข้างดี มีที่ให้กางเต๊นท์ (นี่ก็แบกเต๊นท์มาด้วย เผื่อของเค้าเต็ม) แล้วราคาก็โอเค คือ 1 คน นอนเต๊นท์ของเค้าคิด 300 บาท รวมข้าวต้มตอนเช้า มีหมอน กับผ้าห่มให้ (ได้ผ้าห่มสามผืนเชียว!!!) แล้วห้องน้ำที่นี่เค้าก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วยนา
เอาล่ะ ได้ที่พักแล้ว จุดหมายต่อไป ดูพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่ภูชี้ฟ้าอ๊าอ๊าาาาา.... พอคุยกับพี่เจ้าของที่พักได้ความว่า ตอนเย็นไม่ค่อยมีคนขึ้นเท่าไหร่ คือจากที่พักของพี่แกเนี่ยไม่มีคนไป อีกอย่างคือคนส่วนใหญ่เค้าเช่ารถมา ไม่ก็มารถส่วนตัว ไอ้จะหาคนมาเดี่ยวๆ แล้วมาหารแบบเรามันก็ไม่ค่อยมี ครั้นจะเหมาราคาก็ 600 บาท ทีเดียว (แล้วนี่ก็ไม่รู้ว่าเค้ามีท่ารถอยู่ตรงลานบริเวณข้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก็เลยไม่ได้เดินลงไปดู ระยะทางจากที่พักไปที่ลานประมาณ 1 กม.) อ่ะ...งั้นไม่เป็นไร ด้วยความที่เหนื่อยจากการขึ้นรถมาอยู่แล้ว เลยนอนเอาแรงดีกว่า
ตกเย็นได้เวลาอาหารก็เดินไปซื้อที่ร้านอาหารข้างที่พักได้เลย หรือถ้าใครใคร่อยากกินหมูกระทะ เค้าก็มีบริการส่งถึงที่เลยนะ สอบถามจากที่พักได้เลยจ้า แต่อิฉันก็ตัวคนเดียวจะกินหมูกระทะก็กระไรอยู่ เอาแบบง่ายๆ พอได้แกล้มละกันเนาะ คะน้าหมูกรอบพร้อมด้วยยำอีกหนึ่งถุง สนนราคาสองอย่าง 140 บาท (อาหารจานเดียวบนนี้ราคาจะประมาณ 40-50 บาท ถ้าเป็นพวกยำจะอยู่ที่ 90-100 บาท) พร้อมด้วยเบียร์อีกสองขวดมานั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่หน้าเต๊นท์ (ปล. ยำร้านนี้บอกเลย...เปรี้ยวมาก!!!) ดื่มด่ำกับบรรยากาศจิบเบียร์จนทุ่มนิดๆ ความเพลียเริ่มมาเยือน ได้เวลาเข้านอนแล้วแหละ (อาบน้ำแล้วนะ...ตอนบ่ายสองกว่าๆ ช่วงที่มาถึง) หลับสบายเลย...มารู้สึกตัวอีกทีตอนประมาณหกทุ่ม กลุ่มเด็กวัยรุ่น (รุ่นนักศึกษามหาลัยเห็นจะได้) บ่หลับบ่นอน ตั้งวงกันยาวเลย...ยันหว่างค่า ดีนะที่นอนไว เพราะหลังจากนั้นคือตื่นแทบทุกชั่วโมงเลย (จริงๆ เจ้าของที่พักเค้าก็บอกนะ แต่...สูเจ้าคึบ่พากันเซาฮึ!!! สำหรับใครไปเที่ยวช่วงเทศกาล คนเยอะๆ ก็เตรียมรับมือกับเรื่องแบบนี้กันด้วยเด้อ)
เสาร์ 14 ธ.ค. 62
04.20 น. ได้เวลาเตรียมตัวเพื่อไปรอรถขึ้นภูชี้ฟ้าตอนตีห้า อย่าลืม!!! ไฟฉายกับน้ำดื่มไปด้วยล่ะ อากาศช่วงเช้ามืดเย็นกำลังดี เดินขึ้นภูก็พอดีไม่หนาว ช่วงที่ผมไปเป็นคืนเดือนหงายปิดไฟฉายก็สามารถมองเห็นทางเดินได้สบายๆ ได้บรรยากาศไปอี๊ก!!! ระยะทางจากจุดจอดรถถึงยอดภูชี้ฟ้าน่าจะประมาณ 3-4 ร้อยเมตร(ตามความรู้สึกน้า ^^") ทางขึ้นเป็นทางดิน มีเซาะเป็นขั้นบ้างเพื่อให้เดินได้สะดวก ไม่ชันมาก สามารถเดินได้เรื่อยๆ อ่อ...แต่ก่อนขึ้นแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะดีมาก (ห้องน้ำจะอยู่ด้านหลังศาลาตรงสุดลานจอดรถ) พอขึ้นไปมันบ่มีห้องน้ำเด้อ กว่าจะรอพระอาทิตย์ขึ้น กว่าจะได้ดูหมอกก็นานอยู่นา (แถวพงหญ้าด้านบนนี่คือต้องระวังเลยแหละ ไม่รู้ว่าใครเข้าไปทำอะไรบ้าง เศษกระดาษชำระเห็นกระจายอยู่ทั่วไปเลยทีเดียว)
04.20 น. ได้เวลาเตรียมตัวเพื่อไปรอรถขึ้นภูชี้ฟ้าตอนตีห้า อย่าลืม!!! ไฟฉายกับน้ำดื่มไปด้วยล่ะ อากาศช่วงเช้ามืดเย็นกำลังดี เดินขึ้นภูก็พอดีไม่หนาว ช่วงที่ผมไปเป็นคืนเดือนหงายปิดไฟฉายก็สามารถมองเห็นทางเดินได้สบายๆ ได้บรรยากาศไปอี๊ก!!! ระยะทางจากจุดจอดรถถึงยอดภูชี้ฟ้าน่าจะประมาณ 3-4 ร้อยเมตร(ตามความรู้สึกน้า ^^") ทางขึ้นเป็นทางดิน มีเซาะเป็นขั้นบ้างเพื่อให้เดินได้สะดวก ไม่ชันมาก สามารถเดินได้เรื่อยๆ อ่อ...แต่ก่อนขึ้นแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะดีมาก (ห้องน้ำจะอยู่ด้านหลังศาลาตรงสุดลานจอดรถ) พอขึ้นไปมันบ่มีห้องน้ำเด้อ กว่าจะรอพระอาทิตย์ขึ้น กว่าจะได้ดูหมอกก็นานอยู่นา (แถวพงหญ้าด้านบนนี่คือต้องระวังเลยแหละ ไม่รู้ว่าใครเข้าไปทำอะไรบ้าง เศษกระดาษชำระเห็นกระจายอยู่ทั่วไปเลยทีเดียว)
หกโมงครึ่งนิดๆ ได้เวลาตื่นของพี่อาทิตย์ สาดส่องแสงให้เห็นทิวทัศน์ทะเลหมอกทอดยาวสุดตา!!! (ก็เวอร์ไป๊...ตอนที่ไปไม่มีหมอกขนานน้าน!!!) ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเดินทางมาแล้ว!!!
หลังจากหามุมถ่ายรูปได้บ้างไม่ได้บ้าง ดื่มด่ำกับบรรยากาศและทิวทัศน์ตรงหน้าแล้วก็ลงจากภูมาประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ กลับมากินข้าวต้มที่ที่พัก (รอขึ้นรถที่ลานจอดรถได้เลยจ้า มีรถออกเรื่อยๆ ค่ารถเที่ยวละ 30 บาท) จะได้เดินทางไปยังจุดหมายต่อไป!!! นั่นก็คือ ผาตั้ง ภูชี้ดาว และภูชี้เดือน (ถ้ามีรถและเวลาอำนวย) หลังจากถามพี่เจ้าของที่พักได้ความว่า ไม่มีคนไปเลยวันนี้ ส่วนใหญ่เค้าเช่ารถ กับขับรถส่วนตัวมา ถ้าจะไปน้องสามารถเหมารถได้ วันละ 800 บาท (มาคุยกับคนขับรถเหมากัน...เหมาทั้งวัน 800 บาท ถ้าไปผาตั้งเค้าพาขึ้นไปได้ เพราะที่นั่นมีที่ให้จอดรถ ทางขึ้นสะดวก ไม่ต้องต่อรถอื่นขึ้นไป แต่ถ้าจะขึ้นภูชี้ดาวหรือชี้เดือน เค้าก็ต้องไปจอดรอ แล้วเราต้องใช้บริการรถของชุมชนเพื่อขึ้นไปบนภูอีกทีนึง ค่ารถขึ้นลงอยู่ที่ 100 บาท) หรือสุดท้ายพี่เค้าแนะนำว่าลองเดินลงไปดูที่คิวรถตรงลานหมู่บ้าน ข้างศูนย์บริการฯ (แหม่...พี่น่าจะบอกผมตั้งแต่เย็นวาน ไม่งั้นอาจได้ขึ้นไปดูภูชี้ฟ้าตอนเย็นละ)
ณ ลานข้างศูนย์บริการฯ ไม่มีคนเลยจ้าาา เห็นแต่รถจอดคันนึง อินี่ก็รอร้อรอ ระหว่างรอเหลือบไปเห็นร้านขายของกินอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นร้านขายโจ๊ก กาแฟ มันเผา ไข่ปิ้ง เปิดอยู่พอดี ไหนๆ ก็บ่มีอะไรทำ งั้นกินรอละกัน อากาศเย็นๆ แบบนี้โกโก้ร้อนซักแก้วกับไข่ปิ้งน่าจะดีมิใช่น้อย ด้วยโชคชะตานำพา อธิรัชเลยได้ไปนั่งคุยกับป้าเจ้าของร้าน ป้าเลยบอกว่า...ลูกชายป้ามีมอเตอร์ไซค์เดี๋ยวให้ลูกชายพาไป แต่ต้องรอลูกชายขึ้นมาจากขายของด้านล่างก่อน ระหว่างนั้นคือนั่งคุยกับป้าบ้าง ช่วยดูร้านขายของฝากข้างๆ บ้าง (คะเจ้าฝากป้าไว้ แล้วลงไปซื้อของด้านล่าง จนมีชาวเขามาทักนึกว่าเราเป็นเจ้าของร้าน อินี่ก็ฟังบ่รู้เรื่องเลย 555 นางบอกว่าหน้าคุ้นๆ 😆) ก็ได้ความรู้ไปอี๊ก!!! ลูกชายป้าขึ้นมาตอนเกือบๆ เที่ยง พร้อมด้วยลุงและกับข้าวเที่ยง เป็นต้มยำ แล้วก็มีกับข้าวอีกอย่างนึง ดูน่ากินทีเดียว ป้าแกก็ชวนกินข้าวเที่ยงด้วยนะ แต่คือเพิ่งไปกินก่อนที่ป้าจะเรียกเอง อิ่มมาก!!! (ช้าไปนิดนึงเนาะป้าเนาะ)
อิ่มท้องกันหมดแล้วก็ออกเดินทางสู่ผาตั้ง (ตกลงราคากันได้ที่ 300 บาท น้ำมันเค้าเติมเอง แถมขับรถให้ด้วย) จากศูนย์บริการฯ ภูชี้ฟ้าถึงดอยผาตั้งระยะทางประมาณ 35 กม. (ผ่านภูชี้ดาว ภูชี้เดือนด้วย แต่ค่อยแวะขากลับละกันเนาะ) เกือบๆ บ่ายโมงก็เดินทางถึงที่หมาย ใช้เวลาที่ผาตั้งประมาณหนึ่งชั่วโมง จุดที่น่าสนใจก็มี ผาบ่อง ช่องเขาขาด ป่าหิน เนิน102 และเนิน 103 แต่ละจุดอยู่ไม่ห่างกันมาก ที่นี่มีบริการขี่ม้าเที่ยวด้วย ราคาคิดตามระยะทาง ไกลสุดคือเนิน103 ค่าบริการ 350 บาท ส่วนตัวกระผมนั้น...มาทั้งทีก็เดินดีกว่าเนาะ (คือม้าเค้าตัวเล็กไป๊ ครั้นจะขี่ก็สงสาร แต่หลักๆ คือ เปลืองค่าาาา ^^") อ่อ...แล้วตอนนี้แม่ค้าแถวนั้นบอกว่ามีจุดท่องเที่ยวใหม่ด้วยนะ เป็นเนิน104 โฆษณาว่าวิวสวยกว่าเนิน 102 และ 103 อี๊ก!!! แต่ต้องลงไปขึ้นรถในหมู่บ้าน ราคาเหมารถอยู่ที่ 500 บาท ห้ามเอารถขึ้นไปเอง ต้องใช้บริการรถของชุมชนเท่านั้นนะจ๊ะ ถามว่าไปมั้ย!!? ไม่จ้า เป้าหมายวันนี้คือผาตั้งและภูชี้ดาว (ชี้เดือนด้วยถ้าทัน) เมื่อตั้งใจจะไปแล้วก็ต้องไปสิ!!!
ออกจากผาตั้งมาถึงจุดบริการรถขึ้นภูชี้ดาวประมาณบ่ายสองครึ่ง ค่าเหมารถขึ้นลง 500 บาท ตั้งใจจะขึ้นก็เหมาไปเล้ย!!! อย่า!!! คิดเช่นนั้นค่า!!! รอได้ก็รอดีกว่าเนาะ มีคนหารดีกว่าเป็นไหนๆ แถมระหว่างรอได้นั่งดูคะเจ้าเล่นไพ่ด้วย ศึกษาการเล่นไพ่ของคนแถวนี้ซักหน่อยก็น่าจะดี 😁 (ที่ภูชี้ดาว ถ้าเราเอารถมอเตอร์ไซค์มาสามารถขับขึ้นได้นะครับ แต่แนะนำว่าควรเป็น 4 จังหวะ เพราะทางขึ้นค่อนข้างชันในบางช่วง แล้วทางก็ขรุขระ ออกแนววิบากพอสมควรเลย ส่วนรถยนต์ต้องจอดที่ด้านล่างแล้วใช้บริการรถของชุมชน เพราะทางที่จะขึ้นลงไม่สามารถขับสวนกันได้ ต้องใช้วิทยุสื่อสารบอกให้รถที่ขึ้นหรือลงจอดยังจุดที่สามารถหลีกกันได้เพื่อความปลอดภัย) ประมาณชั่วโมงนิดๆ ผู้ร่วมชะตากรรมของเราก็เดินทางมาถึง!!! เมื่อมีคนขึ้นเยอะค่าบริการขึ้นลงจะอยู่ที่ 100 บาทต่อคน (5 คนขึ้นไปนะ) ระยะทางจากคิวรถถึงจุดจอดรถด้านบนประมาณ 3 กม. แต่จะใช้เวลาพอสมควร เพราะทางค่อนข้างสมบุกสมบัน เมื่อถึงที่จอดรถด้านบนหากปวดหนักปวดเบาไม่ต้องห่วงเด้อ ที่นี่มีห้องน้ำให้บริการอยู่ 4 ห้อง แนะนำว่าให้เข้าให้เรียบร้อยก่อน เพราะเราต้องเดินขึ้นไปบนยอดภูอีก 300 ม. และด้านบนไม่มีห้องน้ำ!!! ทางขึ้นยอดภูช่วงแรกค่อนข้างชันซักหน่อย แต่เดินได้สะดวกเพราะเซาะเป็นขั้นบันไดไว้เรียบร้อย มีจุดให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะ แล้วถามว่าขึ้นตอนบ่ายจะสวยหรอ!!? ตอบเลยว่า...สวยจ้า!!! วิวทิวเขาและแม่น้ำโขงก็ได้บรรยากาศอีกแบบนึงน้า แต่ถ้ามาช่วงเช้าๆ เป็นทะเลหมอกงามๆ นั่นก็ได้บรรยากาศอีกแบบเนาะ หรือถ้าจะคลาสสิคหน่อยคือมาตอนเย็นไปเลย วิวพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ดาวผมว่าสวยเลยแหละ อาทิตย์จะตกแถวๆ ภูชี้ฟ้าพอดี (นี่ก็ได้แต่จิ้นไง ลงมาก่อน กลัวมืดเดี๋ยวกลับไปนั่งจิบเบียร์ดูพระอาทิตย์ตกที่เต๊นท์ไม่ทัน)
ลงจากภูชี้ดาวประมาณห้าโมงเย็น ก็บึ่งรถกลับที่พักเลย แต่กลุ่มที่เค้าขึ้นภูพร้อมกับเราบอกว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ลานจอดฮอ ด้วยความที่เรามอร์ไซค์อ่ะเนาะ กลับไปถึงที่พักไม่ทันพระอาทิตย์ตกจ้า (วันนี้ดันตกเร็วกว่าเมื่อวานไปอี๊ก) เกือบๆ หกโมงพี่อาทิตย์ก็จะลับเหลี่ยมเขาซะแล้ว จุดชมพระอาทิตย์ตกสวยอีกที่นึงก็ลานจอดฮอเนี่ยแหละ (ขับมาถึงลานจอดฮอตอนพระอาทิตย์ตกพอดี เห็นผู้ร่วมชะตากรรมของเรากำลังถ่ายพระอาทิตย์พอดีเช่นกัน)
เกือบหกโมงเย็นก็มาถึงลานข้างศูนย์บริการฯ ให้น้องส่งลงตรงนี้เพราะจะได้ซื้อกับแกล้มไปกินที่เต๊นท์ เย็นนี้ลองเปลี่ยนร้านดูซิ!!! สั่งยำถุงนึงเพื่อไปแกล้มเบียร์ แล้วค่อยเดินกลับที่พัก (เย็นวันนี้คนเยอะมาก กลุ่มวัยรุ่นหลายๆ กลุ่มขึ้นมาเที่ยวจับจองพื้นที่กางเต๊นท์ข้างทางเอาบรรยากาศบนภู ตรงไหนมีที่ให้กางได้กุก็กางกันเลยทีเดียว ร้านหมูกระทะนี่คึกคักเลย) ไปอาบน้ำ หามาม่าร้อนๆ มาซดเอาแรง นั่งเปิดเพลงเบาๆ กินเบียร์เย็นๆ ที่เต๊นท์ก่อนนอนดีกว่า (ปรากฏว่ายำร้านนี้ออกเค็มจ้า)กว่าจะได้นอนก็ปาไปสามทุ่มเลยวันนี้
อาทิตย์ 15 ธ.ค. 62
วันนี้ตื่นประมาณตีห้ากว่าๆ เตรียมเก็บของกลับบ้าน!!! รถตู้มารับตอนเก้าโมงเช้า (ไม่ดื้อละเนาะ ไปรถตู้เนี่ยแหละสบายละ ^^)ถึง บขส.เก่า เชียงรายประมาณ 11 นาฬิกา จับรถสองแถวต่อไป บขส.ใหม่ ทันที ขากลับลองลงเส้นโคราชดูบ้าง ใช้เวลา 14 ชม.กว่าจะถึงโคราช อีก 4 ชม. ถึงสุรินทร์ และอีก 1 ชม. (ไม่รวมเวลารอรถนะ) ก็เดินทางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพจ้า
วันนี้ตื่นประมาณตีห้ากว่าๆ เตรียมเก็บของกลับบ้าน!!! รถตู้มารับตอนเก้าโมงเช้า (ไม่ดื้อละเนาะ ไปรถตู้เนี่ยแหละสบายละ ^^)ถึง บขส.เก่า เชียงรายประมาณ 11 นาฬิกา จับรถสองแถวต่อไป บขส.ใหม่ ทันที ขากลับลองลงเส้นโคราชดูบ้าง ใช้เวลา 14 ชม.กว่าจะถึงโคราช อีก 4 ชม. ถึงสุรินทร์ และอีก 1 ชม. (ไม่รวมเวลารอรถนะ) ก็เดินทางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพจ้า
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่ารถตู้รัตนบุรี-ท่าตูม 20 บาท
ค่ารถโดยสารท่าตูม-ร้อยเอ็ด 63 บาท
ค่ารถร้อยเอ็ด-ขอนแก่น 86 บาท
ค่ารถขอนแก่น-เชียงราย 563 บาท
ค่ารถจาก บขส.ใหม่-บขส.เก่า เชียงราย 20 บาท
ค่ารถเชียงราย-เทิง 40 บาท
ค่ารถ(เหมา)จากเทิงขึ้นภู 400 บาท
ค่ารถขึ้นยอดภูชี้ฟ้า 60 บาท
ค่าเหมามอเตอร์ไซค์ 300 บาท
ค่ารถขึ้นภูชี้ดาว (รวมน้อง) 200 บาท
ค่ารถตู้ภูชี้ฟ้า-เชียงราย 200 บาท
ค่ารถจาก บขส.เก่า-บขส.ใหม่ เชียงราย 20 บาท
ค่ารถเชียงราย-โคราช 619 บาท
ค่ารถโคราช-สุรินทร์ 140 บาท
ค่ารถตู้สุรินทร์-รัตนบุรี 46 บาท
ค่าวินเข้าบ้าน 30 บาท
ค่าอาหารเครื่องดื่มตลอดทริป 1,215 บาท
ค่าที่พัก 600 บาท
รวม 4,622 บาท
ค่ารถตู้รัตนบุรี-ท่าตูม 20 บาท
ค่ารถโดยสารท่าตูม-ร้อยเอ็ด 63 บาท
ค่ารถร้อยเอ็ด-ขอนแก่น 86 บาท
ค่ารถขอนแก่น-เชียงราย 563 บาท
ค่ารถจาก บขส.ใหม่-บขส.เก่า เชียงราย 20 บาท
ค่ารถเชียงราย-เทิง 40 บาท
ค่ารถ(เหมา)จากเทิงขึ้นภู 400 บาท
ค่ารถขึ้นยอดภูชี้ฟ้า 60 บาท
ค่าเหมามอเตอร์ไซค์ 300 บาท
ค่ารถขึ้นภูชี้ดาว (รวมน้อง) 200 บาท
ค่ารถตู้ภูชี้ฟ้า-เชียงราย 200 บาท
ค่ารถจาก บขส.เก่า-บขส.ใหม่ เชียงราย 20 บาท
ค่ารถเชียงราย-โคราช 619 บาท
ค่ารถโคราช-สุรินทร์ 140 บาท
ค่ารถตู้สุรินทร์-รัตนบุรี 46 บาท
ค่าวินเข้าบ้าน 30 บาท
ค่าอาหารเครื่องดื่มตลอดทริป 1,215 บาท
ค่าที่พัก 600 บาท
รวม 4,622 บาท
ข้อแนะนำ
-มาช่วงปลายฝนจะดีมาก จะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ แบบเต็มอิ่มมากกว่านี้
-ถ้ามาสองคนเช่ารถมอเตอร์ไซค์น่าจะคุ้มสุดละครับ แต่ควรเป็น 4 จังหวะ น่าจะโอเคกว่าอัตโนมัติเนาะ
-ถ้ามีความจำเป็นต้องเหมารถจากเทิงขึ้นภู แนะนำว่าให้ต่อให้ได้ราคา 3-4 ร้อยบาทนะครับ เพราะน้องที่ขับรถให้เค้าบอกกว่า คนแถวนี้เหมาขึ้นมาแค่ 300 เอง (น้องเค้าว่างั้นนะ)
ทริปนี้ได้อะไร
-ได้ลองฝึกตัวเองให้ปรับเปลี่ยนความคิดและแก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์ที่เจอ ไม่ยึดติดกับแผน
-ได้ลองฝึกตัวเองให้ปรับเปลี่ยนความคิดและแก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์ที่เจอ ไม่ยึดติดกับแผน
-ได้ความรู้ใหม่ๆ จากที่คุยกับป้าขายโจ๊ก เลยได้รู้เรื่องชาวเขามาพอสมควร อย่าง 27-28 ธ.ค. ของทุกปีจะเป็นช่วงปีใหม่ของชาวเขา สาวๆ ชาวเขาจะแต่งชุดพื้นเมืองมาเดินเที่ยวกัน (ไปผิดช่วงสินะชั้นเนี่ย!!!) หรืออย่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีงานดอกเสี้ยวบาน แล้วชาวเขาจากทั่วโลกเค้าจะกลับมาร่วมงานที่บ้านเกิด ถนนในหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย อ่อ...แล้วปีที่ผ่านมานางงามชาวเขาเนี่ยเค้ามาจากออสเตรเลียเชียว!!! (ป้าบอกพร้อมกับส่งรูปมาให้ดูเลยทีเดียว)
-ได้เปิดมุมมองขอตัวเอง และเห็นมุมมองดีๆ จากเพื่อนร่วมทาง (ลูกชายป้าร้านโจ๊ก) คือตอนแรกที่เห็นลูกป้าคือหน้าดุๆ สักตามตัว เจาะหูใส่เป็นเหมือนแหวนด้านในติ่งหู แถมยังเจาะลิ้นด้วย!!! เราก็แบบ...จะไหวมั้ยเนี่ย!!! (กูเนี่ยจะไหวกับน้องเค้ารึเปล่า!!!) แต่พอไปด้วยกัน ได้คุย ได้สังเกตุ เลยได้รู้ว่าน้องเป็นคนเอาการเอางานเลยทีเดียว วันว่างๆ ไม่ได้ทำงานประจำก็มาช่วยพ่อกับแม่ขายของ ก่อนหน้านี้ก็ทำงานมาหลายอย่างเลย อะไรที่เป็นเงินน้องเค้าทำหมด แต่จะเน้นไปทางช่างเพราะว่าจบช่างมา ส่วนปัจจุบันรับจัดอีเว้นท์จ้าาา (เปลี่ยนสายกันเลยทีเดียว) เวลาเจอวิวดีๆ ก็จะถามว่าหยุดถ่ายรูปมั้ย ชอบที่น้องบอกว่า "พี่มาเที่ยวแบบนี้ ไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ มาทั้งทีก็เอาให้เต็มที่ ไม่เป็นไรพี่ผมรอได้...มากับผมชิวๆ" อยากบอกว่าทัศนคติเธอสวนทางกับบุคลิกมาก (ไม่ได้ถ่ายรูปกับน้องมาเลย...พลาดละ!!!)
- ได้เห็นความขยันของชาวเขา ไม่ว่าภูเขาจะชันแค่ไหน เค้าก็ยังสามารถบุกเบิกเข้าไปทำการเกษตรได้!!! เห็นเด็กๆ ที่ตื่นแต่เช้าๆ แต่งชุดพื้นเมืองเดินขึ้นภูมาเต้นบ้าง ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปบ้าง ก็ทำให้เค้ามีรายได้กันไป เห็นวัยรุ่นชาวเขาเปิดร้านขายของที่ระลึก หรือเปิดร้านขายอาหารเพื่อหารายได้ จนเราต้องมองพวกเค้าเป็นตัวอย่างเลยทีเดียว
-เห็นป่าไม่ที่ลดลงไปเรื่อยๆ ตลอดทางขึ้นเขาพื้นที่ป่าดั้งเดิมส่วนใหญ่หายไปจนเกือบหมดแล้ว ที่มาแทนที่ตอนนี้คือสวนยางพารา ไร่ข้าวโพด แปลงกะหล่ำ สตรอว์เบอร์รี่ แปลงหอมดอก พื้นที่ป่ากลายเป็นพื้นที่ทำการเกษตรไปซะแล้ว (และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรือยๆ)
-สุดท้าย คือ การขาดการจัดการที่ดีของหน่วยงานภาครัฐในเรื่องของป่าไม้ จากที่ได้เห็นคือ ป่าถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่น้ำที่เค้าใช้ในการทำการเกษตร น้ำสำหรับการอุปโภคส่วนใหญ่เป็นน้ำซับจากตาน้ำที่มีบนภูเขา จากลำธาร หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติต่างๆ ซึ่งล้วนเกิดมาจากป่าทั้งสิ้น ตอนนี้อาจยังไม่ส่งผลกระทบมาก แต่ในอนาคตผมรับรองได้เลยว่าเกิดแน่ๆ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สิ่งที่อยากจะบอกคือ คนอยู่กับธรรมชาติได้ถ้ารู้จักแบ่งสันปันส่วนและมีการจัดการที่ดี และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการร่วมมือและความดูแลเอาใจใส่ทั้งของหน่วยงานภาครัฐ และคนในชุมชน ถ้าทำได้...ธรรมชาติจะอยู่กับเรา และเราจะอยู่กับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน (ดูมีสาระขึ้นมาทีเดียว 😆😆)ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบนะครับ ได้สาระบ้างไม่ได้สาระบ้าง สุภาพบ้างหยาบบ้างก็เป็นอรรถรสไป ไว้ครั้งหน้าจะมาบ่นให้ฟังใหม่ละกันเนาะ ส่วนครั้งนี้คงต้องลาแต่เพียงเท่านี้ ปีใหม่นี้ก็ขอให้เดินทางกันอย่างปลอดภัย และมีความสุขกันทุกคนเด้อ!!! 😉
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น