29 ธ.ค. 2562

บันทึกการเดินทาง จาก อ.รัตนบุรี​ สุรินทร์​สู่ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย ใช้เงินเพียง 4,622 บาท

บันทึกการเดินทาง จาก อ.รัตนบุรี​ สุรินทร์​สู่ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย
ส่งท้ายปีด้วยทริปไปดูทะเลหมอกที่เจียงฮายกันจ้า
ซึ่งบทความนี้ถูกโพสต์โดย คุณอธิรัช ราชเจริญ 

พฤ 12 ธ.ค. 62
ออกเดินทางจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปต่อรถขอนแก่นเชียงราย จากบ้านที่ อ.รัตนบุรี​ สุรินทร์​ ขึ้นรถตู้รอบเจ็ดโมงเช้า แล้วต่อรถโดยสารอีกสองต่อ ถึงขอนแก่นประมาณ​บ่ายโมงกว่าๆ แล้วต่อรถขอนแก่นเพื่อมุ่งหน้าสู่เชียงรายเป้าหมายของเรา!!! ได้ตั๋วรอบ 18.30 น. ของอีสานทัวร์​ (รถสายขอนแก่น-เชียงราย มี 2 บริษัท​ คือ สมบัติ​ทัวร์​และอีสานทัวร์​ รถวิ่งทุกวัน ตารางเวลาหาได้จากอากูเลยจ้า)​

18.30 น. ออกจาก บขส.3 ขอนแก่น มุ่งหน้าสู่เจียงฮาย ใช้เวลาเดินทาง 13 ชั่วโมง!!! ถึง บขส.ใหม่ จ.เชียงราย ประมาณเจ็ดโมงเช้า หลังจากนั้นก็ต้องต่อรถไป บขส.เก่า เพื่อหารถไปภูชี้ฟ้าอีกที (ไป บขส.เก่า เราสามารถ​ขึ้นรถน้ำเงินที่ข้างรถเขียนว่า "รอบเวียง" ได้เลย คิวรถจะอยู่ที่หน้าห้องน้ำของ บขส.ใหม่จ้า)



ศุกร์​ 13 ธ.ค. 62
ที่ บขส.เก่า จากเชียงรายไปภูชี้ฟ้า​จะมีรถแค่รอบบ่ายโมงครึ่ง (ช่วงที่ผมไปนะ)​ เป็นรถตู้สายตรงขึ้นภูเลย จุดจอดรถปลายทางคือบริเวณลานชุมชนข้างศูนย์​บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า สนนราคาอยู่ที่ 200 บาทขาดตัวจ้า แต่ด้วยความที่ตัวเองเคยอ่านเจอว่ามีคนเคยขึ้นรถไป อ.เทิง แล้วต่อสองแถวขึ้นภูได้ ในราคาที่ประหยัด และถึงก่อนรถตู้ด้วย!!! อินี่เลยเอาบ้างสิ!!! ต่อโดยสารเชียงราย-เทิง ด้วยค่ารถ 40 บาท (อ่ะถูกเว่ย!!!) รถออกจากเชียงรายเกือบๆ 10 โมงเช้า ถึงเทิงประมาณ 11 โมงกว่าๆ แต่ด้วยชะตากรรมของอธิรัช...จากเทิงไปภูชี้ฟ้าเค้าไม่มีรถจ้า (เฮ่ย!!! แล้วที่กุอ่านเจอนั่นล่ะ!!!) เจ้าหน้าที่ๆ ท่ารถเค้าบอกว่าถ้าจะขึ้นตอนนี้มีรถเหมาขึ้นได้เลย แต่ราคาก็ 7-8 ร้อยบาท หรือจะรอตอนบ่าย มีรถสองแถวนะ แต่ไปไม่ถึงภู รถจะสุดระยะก่อนที่หมู่บ้านด้านล่างแล้วค่อยไปหารถต่อขึ้นไปเอง (ไม่มีรถสองแถวตรงขึ้นภูชี้ฟ้านะครับ มีแต่รถสายประจำ จะวิ่งถึงหมู่บ้านด้านล่าง เช้าประมาณ 11 โมง บ่ายก็ประมาณบ่ายโมงกว่า วันละสองเที่ยว ณ ตอนที่ผมไปนะ แต่ในอนาคตบ่รู้เด้อ)​ หรือโทรถามรถตู้​ที่เชียงรายว่าเต็มหรือยัง (นั่นไง...ไหนว่าเคยอ่านเจอ!!! 555 เอาหนะ...ไม่ลองก็ไม่รู้เนาะ) ปรากฏ​ว่ารถตู้​เต็มจ้าาา สองคันเลย อ่ะ...งั้น รอบ่าย เจ้าหน้าที่เค้าก็ติดต่อรถให้เราตลอดเลยนะ (ขอขอบคุณ​มา ณ โอกาสนี้ด้วยคร้าบ)​

บ่ายโมงกว่าๆ สองแถวก็มาถึง คุยตกลงกันสรุปได้เหมาจ้า ในราคา 400 บาท (ก็คงต้องเหมาแหละ ไม่มีรถแล้ว ^^")​ เพราะมีพี่ทหารไปด้วยอีก 3 คน แต่พี่ทหารเค้าลงก่อน เลยได้คนละ 80 บาท (พี่คนขับบอกว่ามีรถบ่าย แต่วันนี้รถเสีย ผมเลยต้องเอารถผมมาวิ่งแทน ก็แอบตะหงิดๆ ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะ...เออ...อย่างน้อยกุก็เหมาได้ครึ่งราคาละไง แต่พอมาคิดตอนหลังว่าถ้าเอามาวิ่งแทน มันก็ต้องวิ่งในราคาปกติ แล้วพอสุดระยะถ้าจะเหมาขึ้นค่อยตกลงราคากัน ไม่น่าจะใช้ราคาเหมารวม แล้วเอาผู้โดยสารแค่ 4 คน แบบนี้นี่หว่า 555 พลาดละบักอ๋อม!!!) เป็นอันว่าได้รถขึ้นละ แต่!!!...ด้วยความที่เป็นรถสองแถวหลังคาต่ำ และตัวข้าพเจ้านั้นก็สูงพอประมาณ บวกกับเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน สภาพขาขึ้นคือ...ไม่กินเหล้ากุก็เมาจ้าาาา

ออกจากเทิงบ่ายโมงนิดๆ ถึงภูประมาณบ่ายสองกว่าๆ ความตั้งใจของทริปนี้คือไปแบบไม่มีแผน มีแค่จุดหมาย ข้างหน้าเป็นไงค่อยว่ากัน ที่พักในวันนี้ก็เช่นกัน...จุดหมายแรก กู๊ดวิว @ ภูชี้ฟ้า (ให้สองแถวเค้ามาส่งที่นี่เลย ^^)​ เท่าที่ดูๆ มา วิวค่อนข้างดี มีที่ให้กางเต๊นท์​ (นี่ก็แบกเต๊นท์​มาด้วย เผื่อของเค้าเต็ม)​ แล้วราคาก็โอเค คือ 1 คน นอนเต๊นท์​ของเค้าคิด 300 บาท รวมข้าวต้มตอนเช้า มีหมอน กับผ้าห่มให้ ​(ได้ผ้าห่มสามผืนเชียว!!!) แล้วห้องน้ำที่นี่เค้าก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วยนา
เอาล่ะ ได้ที่พักแล้ว จุดหมายต่อไป ดูพระอาทิตย์​ตกยามเย็นที่ภูชี้ฟ้าอ๊าอ๊าาาาา.... พอคุยกับพี่เจ้าของที่พักได้ความว่า ตอนเย็นไม่ค่อยมีคนขึ้นเท่าไหร่ คือจากที่พักของพี่แกเนี่ยไม่มีคนไป อีกอย่างคือคนส่วนใหญ่เค้าเช่ารถมา ไม่ก็มารถส่วนตัว ไอ้จะหาคนมาเดี่ยวๆ แล้วมาหารแบบเรามันก็ไม่ค่อยมี ครั้นจะเหมาราคาก็ 600 บาท ทีเดียว (แล้วนี่ก็ไม่รู้ว่าเค้ามีท่ารถอยู่ตรงลานบริเวณ​ข้างศูนย์​บริการ​นักท่องเที่ยว​ ก็เลยไม่ได้เดินลงไปดู ระยะทางจากที่พักไปที่ลานประมาณ​ 1 กม.) อ่ะ...งั้นไม่เป็นไร ด้วยความที่เหนื่อยจากการขึ้นรถมาอยู่แล้ว เลยนอนเอาแรงดีกว่า

ตกเย็นได้เวลาอาหารก็เดินไปซื้อที่ร้านอาหารข้างที่พักได้เลย หรือถ้าใครใคร่อยากกินหมูกระทะ เค้าก็มีบริการส่งถึงที่เลยนะ สอบถามจากที่พักได้เลยจ้า แต่อิฉันก็ตัวคนเดียวจะกินหมูกระทะก็กระไรอยู่ เอาแบบง่ายๆ พอได้แกล้มละกันเนาะ คะน้าหมูกรอบพร้อมด้วยยำอีกหนึ่งถุง สนนราคาสองอย่าง 140 บาท (อาหารจานเดียวบนนี้ราคาจะประมาณ 40-50 บาท ถ้าเป็นพวกยำจะอยู่ที่ 90-100 บาท)​ พร้อมด้วยเบียร์​อีกสองขวดมานั่งชม​พระอาทิตย์​ตกดินที่หน้าเต๊นท์​ (ปล. ยำร้านนี้บอกเลย...เปรี้ยวมาก!!!) ดื่มด่ำกับบรรยากาศจิบเบียร์​จนทุ่มนิดๆ ความเพลียเริ่มมาเยือน ได้เวลาเข้านอนแล้วแหละ (อาบน้ำแล้วนะ...ตอนบ่ายสองกว่าๆ ช่วงที่มาถึง)​ หลับสบายเลย...มารู้สึกตัวอีกทีตอนประมาณ​หกทุ่ม กลุ่มเด็กวัยรุ่น (รุ่นนักศึกษามหาลัยเห็นจะได้)​ บ่หลับบ่นอน ตั้งวงกันยาวเลย...ยันหว่างค่า ดีนะที่นอนไว เพราะหลังจากนั้นคือตื่นแทบทุกชั่วโมงเลย (จริงๆ เจ้าของที่พักเค้าก็บอกนะ แต่...สูเจ้าคึบ่พากันเซาฮึ!!! สำหรับใครไปเที่ยวช่วงเทศกาล คนเยอะๆ ก็เตรียมรับมือกับเรื่องแบบนี้กันด้วยเด้อ)​




เสาร์​ 14 ธ.ค. 62
04.20 น. ได้เวลาเตรียมตัวเพื่อไปรอรถขึ้นภูชี้ฟ้าตอนตีห้า อย่าลืม!!! ไฟฉายกับน้ำดื่มไปด้วยล่ะ อากาศ​ช่วงเช้ามืดเย็นกำลังดี เดินขึ้นภูก็พอดีไม่หนาว ช่วงที่ผมไปเป็นคืนเดือนหงายปิดไฟฉายก็สามารถ​มองเห็นทางเดินได้สบายๆ ได้บรรยากาศ​ไปอี๊ก!!! ระยะทางจากจุดจอดรถถึงยอดภูชี้ฟ้า​น่าจะประมาณ​ 3-4 ร้อยเมตร​(ตามความรู้สึก​น้า ^^")​ ทางขึ้นเป็นทางดิน มีเซาะเป็นขั้นบ้างเพื่อให้เดินได้สะดวก ไม่ชันมาก สามารถเดินได้เรื่อยๆ อ่อ...แต่ก่อนขึ้นแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะดีมาก (ห้องน้ำจะอยู่ด้านหลัง​ศาลาตรงสุดลานจอดรถ)​ พอขึ้นไปมันบ่มีห้องน้ำเด้อ กว่าจะรอพระอาทิตย์​ขึ้น กว่าจะได้ดูหมอกก็นานอยู่นา (แถวพงหญ้าด้านบนนี่คือต้องระวังเลยแหละ ไม่รู้ว่าใครเข้าไปทำอะไรบ้าง เศษกระดาษ​ชำระเห็นกระจายอยู่ทั่วไปเลยทีเดียว)

หกโมงครึ่งนิดๆ ได้เวลาตื่นของพี่อาทิตย์ สาดส่องแสงให้เห็นทิวทัศน์​ทะเลหมอกทอดยาวสุดตา!!! (ก็เวอร์ไป๊...ตอนที่ไปไม่มีหมอกขนานน้าน!!!) ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเดินทางมาแล้ว!!!

หลังจากหามุมถ่ายรูปได้บ้างไม่ได้บ้าง ดื่มด่ำกับบรรยากาศและทิวทัศน์​ตรงหน้าแล้วก็ลงจากภูมาประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ กลับมากินข้าวต้มที่ที่พัก (รอขึ้นรถที่ลานจอดรถได้เลยจ้า มีรถออกเรื่อยๆ ค่ารถเที่ยวละ 30 บาท)​ จะได้เดินทางไปยังจุดหมายต่อไป!!! นั่นก็คือ ผาตั้ง ภูชี้ดาว และภูชี้เดือน (ถ้ามีรถและเวลาอำนวย)​ หลังจากถามพี่เจ้าของที่พักได้ความว่า ไม่มีคนไปเลยวันนี้ ส่วนใหญ่เค้าเช่ารถ กับขับรถส่วนตัวมา ถ้าจะไปน้องสามารถเหมารถได้ วันละ 800 บาท (มาคุยกับคนขับรถเหมากัน...เหมาทั้งวัน 800 บาท ถ้าไปผาตั้งเค้าพาขึ้นไปได้ เพราะที่นั่นมีที่ให้จอดรถ ทางขึ้นสะดวก ไม่ต้องต่อรถอื่นขึ้นไป แต่ถ้าจะขึ้นภูชี้ดาวหรือชี้เดือน เค้าก็ต้องไปจอดรอ แล้วเราต้องใช้บริการรถของชุมชนเพื่อขึ้นไปบนภูอีกทีนึง ค่ารถขึ้นลงอยู่ที่ 100 บาท)​ หรือสุดท้ายพี่เค้าแนะนำว่าลองเดินลงไปดูที่คิวรถตรงลานหมู่บ้าน ข้างศูนย์​บริการ​ฯ (แหม่...พี่น่าจะบอกผมตั้งแต่เย็นวาน ไม่งั้นอาจได้ขึ้นไปดูภูชี้ฟ้าตอนเย็นละ)​
ณ ลานข้างศูนย์​บริการ​ฯ ไม่มีคนเลยจ้าาา เห็นแต่รถจอดคันนึง อินี่ก็รอร้อรอ ระหว่างรอเหลือบไปเห็นร้านขายของกินอยู่ฝั่ง​ตรงข้าม​ เป็นร้านขายโจ๊ก กาแฟ มันเผา ไข่ปิ้ง เปิดอยู่พอดี ไหนๆ ก็บ่มีอะไรทำ งั้นกินรอละกัน อากาศ​เย็นๆ แบบนี้โกโก้ร้อนซักแก้วกับไข่ปิ้งน่าจะดีมิใช่น้อย ด้วยโชคชะตา​นำพา อธิรัชเลยได้ไปนั่งคุยกับป้าเจ้าของร้าน ป้าเลยบอกว่า...ลูกชายป้ามีมอเตอร์ไซค์​เดี๋ยวให้ลูกชายพาไป แต่ต้องรอลูกชายขึ้นมาจากขายของด้านล่างก่อน ระหว่างนั้นคือนั่งคุยกับป้าบ้าง ช่วยดูร้านขายของฝากข้างๆ บ้าง (คะเจ้าฝากป้าไว้ แล้วลงไปซื้อของด้านล่าง จนมีชาวเขามาทักนึกว่าเราเป็นเจ้าของร้าน อินี่ก็ฟังบ่รู้เรื่องเลย 555 นางบอกว่าหน้าคุ้นๆ 😆)​ ก็ได้ความรู้ไปอี๊ก!!! ลูกชายป้าขึ้นมาตอนเกือบๆ เที่ยง พร้อมด้วยลุงและกับข้าวเที่ยง เป็นต้มยำ แล้วก็มีกับข้าวอีกอย่างนึง ดูน่ากินทีเดียว ป้าแกก็ชวนกินข้าวเที่ยงด้วยนะ แต่คือเพิ่งไปกินก่อนที่ป้าจะเรียกเอง อิ่มมาก!!! (ช้าไปนิดนึงเนาะป้าเนาะ)​

อิ่มท้องกันหมดแล้วก็ออกเดินทางสู่ผาตั้ง (ตกลงราคากันได้ที่ 300 บาท น้ำมันเค้าเติมเอง แถมขับรถให้ด้วย)​ จากศูนย์​บริการ​ฯ ภูชี้ฟ้า​ถึงดอยผาตั้งระยะทางประมาณ​ 35 กม. (ผ่านภูชี้ดาว ภูชี้เดือนด้วย แต่ค่อยแวะขากลับละกันเนาะ)​ เกือบๆ บ่ายโมงก็เดินทางถึงที่หมาย ใช้เวลาที่ผาตั้งประมาณ​หนึ่งชั่วโมง​ จุดที่น่าสนใจก็มี ผาบ่อง ช่องเขาขาด ป่าหิน เนิน102 และเนิน 103 แต่ละจุดอยู่ไม่ห่างกันมาก ที่นี่มีบริการขี่ม้าเที่ยวด้วย ราคาคิดตามระยะทาง ไกลสุดคือเนิน103 ค่าบริการ 350 บาท ส่วนตัวกระผมนั้น...มาทั้งทีก็เดินดีกว่าเนาะ (คือม้าเค้าตัวเล็กไป๊ ครั้นจะขี่ก็สงสาร แต่หลักๆ คือ เปลืองค่าาาา ^^")​ อ่อ...แล้วตอนนี้แม่ค้าแถวนั้นบอกว่ามีจุดท่องเที่ยวใหม่ด้วยนะ เป็นเนิน104 โฆษณา​ว่าวิวสวยกว่าเนิน 102 และ 103 อี๊ก!!! แต่ต้องลงไปขึ้นรถในหมู่บ้าน ราคาเหมารถอยู่ที่ 500 บาท ห้ามเอารถขึ้นไปเอง ต้องใช้บริการรถของชุมชนเท่านั้นนะจ๊ะ ถามว่าไปมั้ย!!? ไม่จ้า เป้าหมายวันนี้คือผาตั้งและภูชี้ดาว (ชี้เดือนด้วยถ้าทัน)​ เมื่อตั้งใจจะไปแล้วก็ต้องไปสิ!!!

ออกจากผาตั้งมาถึงจุดบริการรถขึ้นภูชี้ดาวประมาณบ่ายสองครึ่ง ค่าเหมารถขึ้นลง 500 บาท ตั้งใจจะขึ้นก็เหมาไปเล้ย!!! อย่า!!!​ คิดเช่นนั้นค่า!!! รอได้ก็รอดีกว่าเนาะ มีคนหารดีกว่าเป็นไหนๆ แถมระหว่างรอได้นั่งดูคะเจ้าเล่นไพ่ด้วย ศึกษา​การเล่นไพ่ของคนแถวนี้ซักหน่อยก็น่าจะดี 😁 (ที่ภูชี้ดาว ถ้าเราเอารถมอเตอร์ไซค์​มาสามารถ​ขับขึ้นได้นะครับ แต่แนะนำว่าควรเป็น 4 จังหวะ เพราะทางขึ้นค่อนข้างชันในบางช่วง แล้วทางก็ขรุขระ ออกแนววิบากพอสมควรเลย ส่วนรถยนต์​ต้องจอดที่ด้านล่างแล้วใช้บริการรถของชุมชน เพราะทางที่จะขึ้นลงไม่สามารถขับสวนกันได้ ต้องใช้วิทยุสื่อสารบอกให้รถที่ขึ้นหรือลงจอดยังจุดที่สามารถหลีกกันได้เพื่อความปลอดภัย​)​ ประมาณชั่วโมงนิดๆ ผู้ร่วมชะตากรรม​ของเราก็เดินทางมาถึง!!! เมื่อมีคนขึ้นเยอะค่าบริการขึ้นลงจะอยู่ที่ 100 บาทต่อคน (5 คนขึ้นไปนะ)​ ระยะทางจากคิวรถถึงจุดจอดรถด้านบนประมาณ 3 กม. แต่จะใช้เวลาพอสมควร เพราะทางค่อนข้างสมบุกสมบัน เมื่อถึงที่จอดรถด้านบนหากปวดหนักปวดเบาไม่ต้องห่วงเด้อ ที่นี่มีห้องน้ำให้บริการอยู่ 4 ห้อง แนะนำว่าให้เข้าให้เรียบร้อยก่อน เพราะเราต้องเดินขึ้นไปบนยอดภูอีก 300 ม. และด้านบนไม่มีห้องน้ำ!!! ทางขึ้นยอดภูช่วงแรกค่อนข้างชันซักหน่อย แต่เดินได้สะดวกเพราะเซาะเป็นขั้นบันไดไว้เรียบร้อย มีจุดให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะ แล้วถามว่าขึ้นตอนบ่ายจะสวยหรอ!!? ตอบเลยว่า...สวยจ้า!!! วิวทิวเขาและแม่น้ำโขงก็ได้บรรยากาศ​อีกแบบนึงน้า แต่ถ้ามาช่วงเช้าๆ เป็นทะเลหมอกงามๆ นั่นก็ได้บรรยากาศ​อีกแบบเนาะ หรือถ้าจะคลาสสิคหน่อยคือมาตอนเย็นไปเลย วิวพระอาทิตย์​ตกที่ภูชี้ดาวผมว่าสวยเลยแหละ อาทิตย์​จะตกแถวๆ ภูชี้ฟ้าพอดี (นี่ก็ได้แต่จิ้นไง ลงมาก่อน กลัวมืดเดี๋ยว​กลับไปนั่งจิบเบียร์​ดูพระอาทิตย์​ตกที่เต๊นท์​ไม่ทัน)

ลงจากภูชี้ดาวประมาณห้าโมงเย็น ก็บึ่งรถกลับที่พักเลย แต่กลุ่ม​ที่เค้าขึ้นภูพร้อมกับเราบอกว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกดิน​ที่ลานจอดฮอ ด้วยความที่เรามอร์ไซ​ค์อ่ะเนาะ กลับไปถึงที่พักไม่ทันพระอาทิตย์​ตกจ้า (วันนี้ดันตกเร็วกว่าเมื่อวานไปอี๊ก)​ เกือบๆ หกโมงพี่อาทิตย์​ก็จะลับเหลี่ยมเขาซะแล้ว จุดชมพระอาทิตย์​ตกสวยอีกที่นึงก็ลานจอดฮอเนี่ยแหละ (ขับมาถึงลานจอดฮอตอนพระอาทิตย์​ตกพอดี เห็นผู้ร่วมชะตากรรมของเรากำลังถ่ายพระอาทิตย์​พอดีเช่นกัน)​

เกือบหกโมงเย็นก็มาถึงลานข้างศูนย์​บริการ​ฯ ให้น้องส่งลงตรงนี้เพราะจะได้ซื้อกับแกล้มไปกินที่เต๊นท์​ เย็นนี้ลองเปลี่ยนร้านดูซิ!!! สั่งยำถุงนึงเพื่อไปแกล้มเบียร์​ แล้วค่อยเดินกลับที่พัก (เย็นวันนี้คนเยอะมาก กลุ่ม​วัยรุ่นหลายๆ กลุ่มขึ้นมาเที่ยวจับจองพื้นที่กางเต๊นท์​ข้างทางเอาบรรยากาศ​บนภู ตรงไหนมีที่ให้กางได้กุก็กางกันเลยทีเดียว ร้านหมูกระทะนี่คึกคักเลย)​ ไปอาบน้ำ หามาม่าร้อนๆ มาซดเอาแรง นั่งเปิดเพลงเบาๆ กินเบียร์​เย็นๆ ที่เต๊นท์​ก่อนนอนดีกว่า (ปรากฏ​ว่ายำร้านนี้ออกเค็มจ้า)กว่าจะได้นอนก็ปาไปสามทุ่มเลยวันนี้




อาทิตย์​ 15 ธ.ค. 62
วันนี้ตื่นประมาณตีห้ากว่าๆ เตรียมเก็บของกลับบ้าน!!! รถตู้มารับตอนเก้าโมงเช้า (ไม่ดื้อละเนาะ ไปรถตู้เนี่ยแหละสบายละ ^^)​ถึง บขส.เก่า เชียงรายประมาณ 11 นาฬิกา จับรถสองแถวต่อไป บขส.ใหม่ ทันที ขากลับลองลงเส้นโคราชดูบ้าง ใช้เวลา 14 ชม.กว่าจะถึงโคราช อีก 4 ชม. ถึงสุรินทร์​ และอีก 1 ชม. (ไม่รวมเวลารอรถนะ)​ ก็เดินทางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพจ้า


สรุปค่าใช้จ่าย
ค่ารถตู้รัตนบุรี​-ท่าตูม 20 บาท
ค่ารถโดยสารท่าตูม-ร้อยเอ็ด 63 บาท
ค่ารถร้อยเอ็ด-ขอนแก่น 86 บาท
ค่ารถขอนแก่น-เชียงราย 563 บาท
ค่ารถจาก บขส.ใหม่-บขส.เก่า เชียงราย 20 บาท
ค่ารถเชียงราย​-เทิง 40 บาท
ค่ารถ(เหมา)​จากเทิงขึ้นภู 400 บาท
ค่ารถขึ้นยอดภูชี้ฟ้า 60 บาท
ค่าเหมามอเตอร์ไซค์​ 300 บาท
ค่ารถขึ้นภูชี้ดาว (รวมน้อง)​ 200 บาท
ค่า​รถตู้​ภูชี้ฟ้า​-เชียงราย 200 บาท
ค่ารถจาก บขส.เก่า-บขส.ใหม่ เชียงราย 20 บาท
ค่ารถเชียงราย​-โคราช 619 บาท
ค่ารถโคราช​-สุรินทร์​ 140 บาท
ค่า​รถตู้​สุรินทร์​-รัตนบุรี​ 46 บาท
ค่าวินเข้าบ้าน 30 บาท
ค่าอาหารเครื่องดื่มตลอดทริป 1,215​ บาท
ค่าที่พัก 600 บาท
รวม 4,622 บาท


ข้อแนะนำ
-​มาช่วงปลายฝนจะดีมาก จะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ แบบเต็มอิ่มมากกว่านี้
-​ถ้ามาสองคนเช่ารถมอเตอร์ไซค์​น่าจะคุ้มสุดละครับ แต่ควรเป็น 4 จังหวะ น่าจะโอเคกว่าอัตโนมัติ​เนาะ
-​ถ้ามีความจำเป็นต้องเหมารถจากเทิงขึ้นภู แนะนำว่าให้ต่อให้ได้ราคา 3-4 ร้อยบาทนะครับ เพราะน้องที่ขับรถให้เค้าบอกกว่า คนแถวนี้เหมาขึ้นมาแค่ 300 เอง (น้องเค้าว่างั้นนะ)​


ทริปนี้ได้อะไร
-​ได้ลองฝึกตัวเองให้ปรับเปลี่ยนความคิดและแก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์​ที่เจอ ไม่ยึดติดกับแผน

-​ได้ความรู้ใหม่ๆ จากที่คุยกับป้าขายโจ๊ก เลยได้รู้เรื่องชาวเขามาพอสมควร อย่าง 27-28 ธ.ค. ของทุกปีจะเป็นช่วงปีใหม่ของชาวเขา สาวๆ ชาวเขาจะแต่งชุดพื้นเมืองมาเดินเที่ยวกัน (ไปผิดช่วงสินะชั้นเนี่ย!!!) หรืออย่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์​ของทุกปี จะมีงานดอกเสี้ยว​บาน แล้วชาวเขาจากทั่วโลกเค้าจะกลับมาร่วมงานที่บ้านเกิด ถนนในหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย อ่อ...แล้วปีที่ผ่านมานางงามชาวเขาเนี่ยเค้ามาจากออสเตรเลีย​เชียว!!! (ป้าบอกพร้อมกับส่งรูปมาให้ดูเลยทีเดียว)​

-​ได้เปิดมุมมองขอตัวเอง และเห็นมุมมองดีๆ จากเพื่อนร่วมทาง (ลูกชายป้าร้านโจ๊ก)​ คือตอนแรกที่เห็นลูกป้าคือหน้าดุๆ สักตามตัว เจาะหูใส่เป็นเหมือนแหวนด้านในติ่งหู แถมยังเจาะลิ้นด้วย!!! เราก็แบบ...จะไหวมั้ยเนี่ย!!! (กูเนี่ยจะไหวกับน้องเค้ารึเปล่า!!!) แต่พอไปด้วยกัน ได้คุย ได้สังเกตุ​ เลยได้รู้ว่าน้องเป็นคนเอาการเอางานเลยทีเดียว วันว่างๆ ไม่ได้ทำงานประจำก็มาช่วยพ่อกับแม่ขายของ ก่อนหน้านี้ก็ทำงานมาหลายอย่างเลย อะไรที่เป็นเงินน้องเค้าทำหมด แต่จะเน้นไปทางช่างเพราะว่าจบช่างมา ส่วนปัจจุบัน​รับจัดอีเว้นท์​จ้าาา (เปลี่ยน​สายกันเลยทีเดียว)​ เวลาเจอวิวดีๆ ก็จะถามว่าหยุดถ่ายรูปมั้ย ชอบที่น้องบอกว่า "พี่มาเที่ยวแบบนี้ ไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ มาทั้งทีก็เอาให้เต็มที่ ไม่เป็นไรพี่ผมรอได้...มากับผมชิวๆ" อยากบอกว่าทัศนคติ​เธอสวนทางกับบุคลิก​มาก (ไม่ได้ถ่ายรูปกับน้องมาเลย...พลาดละ!!!)

- ได้เห็นความขยันของชาวเขา ไม่ว่าภูเขาจะชันแค่ไหน เค้าก็ยังสามารถบุกเบิกเข้าไปทำการเกษตร​ได้!!! เห็นเด็กๆ ที่ตื่นแต่เช้าๆ แต่งชุดพื้นเมืองเดินขึ้นภูมาเต้นบ้าง ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปบ้าง ก็ทำให้เค้ามีรายได้กันไป เห็นวัยรุ่นชาวเขาเปิดร้านขายของที่ระลึก หรือเปิดร้านขายอาหารเพื่อหารายได้ จนเราต้องมองพวกเค้าเป็นตัวอย่างเลยทีเดียว

-​เห็นป่าไม่ที่ลดลงไปเรื่อยๆ ตลอดทางขึ้นเขาพื้นที่ป่าดั้งเดิมส่วนใหญ่หายไปจนเกือบหมดแล้ว ที่มาแทนที่ตอนนี้คือสวนยางพารา ไร่ข้าวโพด แปลงกะหล่ำ สตรอว์เบอร์รี่​ แปลงหอมดอก พื้นที่ป่ากลายเป็นพื้นที่ทำการเกษตร​ไปซะแล้ว (และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรือยๆ)

-​สุดท้าย คือ การขาดการจัดการที่ดีของหน่วยงานภาครัฐในเรื่องของป่าไม้ จากที่ได้เห็นคือ ป่าถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม​ แต่น้ำที่เค้าใช้ในการทำการเกษตร น้ำสำหรับการอุปโภค​ส่วนใหญ่เป็นน้ำซับจากตาน้ำที่มีบนภูเขา จากลำธาร หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติต่างๆ ซึ่งล้วนเกิดมาจากป่าทั้งสิ้น ตอนนี้อาจยังไม่ส่งผลกระทบมาก แต่ในอนาคตผมรับรองได้เลยว่าเกิดแน่ๆ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สิ่งที่อยากจะบอกคือ คนอยู่กับธรรมชาติ​ได้ถ้ารู้จักแบ่งสันปันส่วนและมีการจัดการที่ดี และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการร่วมมือและความดูแลเอาใจใส่ทั้งของหน่วยงานภาครัฐ และคนในชุมชน ถ้าทำได้...ธรรมชาติ​จะอยู่กับเรา และเราจะอยู่กับธรรมชาติ​ได้อย่างยั่งยืน (ดูมีสาระขึ้นมาทีเดียว 😆😆)ขอบคุณ​ที่ติดตามอ่านมาจนจบนะครับ ได้สาระบ้างไม่ได้สาระบ้าง สุภาพบ้างหยาบบ้างก็เป็นอรรถรส​ไป ไว้ครั้งหน้าจะมาบ่นให้ฟังใหม่ละกันเนาะ ส่วนครั้งนี้คงต้องลาแต่เพียงเท่านี้ ปีใหม่นี้ก็ขอให้เดินทางกันอย่างปลอดภัย และมีความสุขกันทุกคนเด้อ!!! 😉

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น