แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กำแพงเพชร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กำแพงเพชร แสดงบทความทั้งหมด

27 เม.ย. 2554

งานวันสารทไทยกล้วยไข่ เมืองกำแพงเพชร

สารทคือชื่อฤดูใบไม้ผลิ นิยมทำกันในวันขึ้นเดือน 10 เป็นพิธีกลางปีชาวบ้านจะนิยมทำขนมกระยาสารท เพื่อทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระ อีกทั้งระยะนี้เป็นระยะข้าวในนาออกรวงอ่อน คนอินเดียมักเด็ดรวงข้าวสารีไปทำข้าวมธุปายาสเลี้ยงพราหมณ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและข้าวในนาร่วมทั้งเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว

ประเพณีทำบุญวันสารทไทยในเดือน10จึงเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวไทยโบราณนับตั้งแต่สมัยก่อนเป็นต้นมา ปัจจุบันชาวไทยในภาคกลางและบางภาคมักจักประเพณีการทำบุญทำขนมกระยาสารท โดยการไปทำบุญตามวัดต่างๆเพื่ออนุรักษ์ประเพณีไทยดั้งเดิมเอาไว้

กระยาสารท เป็นขนมที่กวนขึ้นโดยมีพิธีและกรรมวิธี กล่าวคือการกวนถูกต้องตามพิธีกระยาสารทนั้น จะสามารถอยู่ได้เป็นเดือนๆแต่ถ้ากวนไม่ถูกส่วนตำราพิธีไทยโบราณกระยาสารทนั้นก็มักจะเปียกและแฉะและร่วน บางที่ก็เกิดราขึ้นและเสียเร็ว

ส่วนผสมของกระยาสารทที่ถูกต้องตามตำรามีดังนี้ ถั่วเขียว ถั่วลิสง งาขาว ข้าวเม่า ข้าวตอก ข้าวฟ่าง น้ำตาหม้อ น้ำตาลปี๊ปชนิดไม่แข็ง น้ำผึ้ง แลแบะแซ การกวนขนมกระยาสารทมีทำเนียมถือปฏิบัติต่อๆกันมาอย่างเคร่งครัดว่า ต้องทำพิธีกวนให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว ห้ามกวนข้ามวันข้ามคืนจึงจะได้อานิสงส์แรงมาก

ขนมกระยาสารทจะอร่อยยิ่งขึ้นถ้านำไปรับประทานกับกล้วยไข่ลุกขนาดกลางๆ ที่ผิวสีเหลืองแก่และมีจุดดำๆ ตลอดลูกที่เรียกว่า “แตกกลายงา” ดังนั้น จังหวัดกำแพงเพชรซึ้งนิยมปลุกกล้วยไข่กันมากและมีคุณภาพดี จึงจัดงานวันกระยาสารทไทย กล้วยไข่ กำแพงเพชรขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 เพราะเห็นว่านอกจากส่งเสริมผลิตภัณฑ์กล้วยไข่ของจังหวัดให้แพร่หลายแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ประเพณีไทยโบราณ

ในปีนี้ การจัดงานวันสารทไทย กล้วยไข่เมืองกำแพง ณ ลานโพธิ์บริเวณศาลากลางจังหวัด ในงานมีการจัดขบวนแห่ธิดากล้วยไข่ การประกวดธิดากล้วยไข่ การประกวดกวนกระยาสารทน้ำใจ การประกวดข้างทิพย์ การทำบุญตักบาตรวันสารทไทย การทอดผ้าป่าแถว การประกวดพระเครื่อง การจำหน่ายสิ้นค้าเกษตร กลางคืนจะมีมหรสพต่างๆ

26 เม.ย. 2554

พิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง กำแพงเพชร


พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติประจำเมืองกำแพงเพชร เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ทางจังหวัดกำแพงแพชร กรมศิลปากร กรมสามัญศึกษา และมูลนิธิปริยัติศึกษา

ญสส. ในสังคมราชูปถัมภ์จึงร่วมจัดสร้างขึ้นในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ จังหวัดกำแพงเพชรตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นเรือนไทยหมู่แบบเรือนไทยภาคกลางบนพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งจัดผังวางตำแหน่งพิพิธภัณฑ์ตามอย่างเรือนไทยโบราณ ประกอบด้วยใต้ถุนโล่ง สูง ด้านล่างจัดวางโต๊ะแสดงขนบประเพณีวิถีไทย เช่น ขนมไทย ตุ๊กตาไทยซึ่งปั้นตามอิริยาบถต่างๆ ของชาวไทยพื้นบ้านดั้งเดิม ส่วนด้านบนทำเรือนชานกว้าง แต่ละห้องบนพิพิธภัณฑ์เรือทนไทยแห่งนี้เป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และจัดแสดงงานศิลปหัตถกรรมอันแสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพชนในท้องถิ่น แหล่งข้อมูลด้านมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของจังหวัด
การจัดแสดงแบ่งเป็น ๕ ส่วนคือ

๑. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีทั่วไป เกี่ยวกับความเป็นมาของจังหวัด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีมาก่อนกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประกอบด้วยเมืองโบราณที่บ้านคลองเมือง เมืองนครชุม เมืองเทพนคร เมืองบางพาน และเมืองกำแพงเพชร
๒. ประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชร ทั้งสภาพธรณีวิทยา สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
๓. ชาติพันธุ์วิทยา แสดงเรื่องราวสภาพชีวิต เศรษฐกิจ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี และการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนต่าง ๆ อันได้แก่ พม่า ไต ลาวโซ่ง ชาวล้านนา ฯลฯ
๔. มรดกดีเด่นของกำแพงเพชร ทั้งมรดกธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรม เริ่มตั้งแต่พัฒนาการของพระเครื่องเมืองกำแพง พระเครื่องที่สำคัญ ๆ ได้แก่ พระนางพญากำแพงเพชร พระกำแพงซุ้มกอ พระกำแพงกลีบบัว เป็นต้น โดยได้รวมเอากล้วยไข่ ประเพณีกล้วยไข่ ผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพัฒนาการทางอุตสาหกรรมและศิลปหัตถกรรม เมืองกำแพงเพชร
๕. การจัดแสดงความเป็นมาของเมืองในรูปแบบของภาพสี ภาพโปร่งใส แผนผัง แผนที่ หุ่นจำลอง และเทคนิคพิเศษในรูปของมัลติมีเดีย เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและหวงแหนถิ่นฐานบ้านเกิดของตน

สถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร อยู่ต่อเนื่องกับที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกำแพงเพชร (พิพิธภัณฑ์เดิม) ภายในเขตเมืองเก่า ของกำแพงเพชร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ถ้าใครมีเวลาผ่านไป ขอเชิญแวะชมพิพิธภัณฑ์ล่าสุดของประเทศไทยเพื่อชื่นชมเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นของเมืองมรดกโลกแห่งนี้